ชอบมากเลยการมี มะยงชิด ให้ทานแบบไร้เมล็ดกวนใจ ลงทุนมีสมาธิปอกมะยงชิดที่ซื้อมาจนหมดถุง พออยากทานก็หยิบออกจากกล่องจิ้มทานได้แบบไม่สะดุด แต่ความตั้งใจนี้ก็ได้มาพร้อมกับมือที่เหลืองอ๋อย จากยางของมะยงชิดขณะปอกไปซะนี่ แล้วคราบเหลืองที่เป็นของแถมนี้ก็ติดแน่น ทนนาน เหลือเกิน ใช้วิธีการล้างทำความสะอาดด้วยสบู่ปกติ ก็ไม่หาย ขัด ๆ ถู ๆ จนแสบมือก็ไม่มีวี่แววว่าจะเบาบางลงเลย วันนี้กินดีอยู่ดีมีวิธีการล้างมือจำกัดคราบเหลืองจากการปอกมะยงชิดให้หายเกลี้ยงแบบไม่แสบผิวมาฝากค่ะ
หลายคนที่เป็นมือปอกต้องเซ็งกันเป็นแถว ก็แหมมือมันเหลืองอ๋อยซะขนาดนี้ เคยตามหาวิธีการป้องกันไม่ให้มือเหลืองมาบ้าง หลายคนบอกให้ใส่ถุงมือตอนปอกซิ มือก็ไม่เหลืองแล้ว สำหรับใครที่ใช้มีดเก่ง ๆ วิธีการสวมถุงมือปอกอาจเป็นเรื่องไม่ยากเย็นนัก แต่ก็มีอีกหลายคนที่สวมถุงมือแล้วไม่ถนัด ยอมมือเหลืองไปเป็นอาทิตย์ ๆ ซะดีกว่า แต่ตอนจากนี้จะไม่เป็นแบบนั้นแล้วค่ะ เพราะเรามีวิธีล้างที่ได้ผลมาก ๆ มาบอกกัน !
ของที่ต้องเตรียมสำหรับใช้ล้างคราบเหลืองที่ติดมือก็มีเท่านี้ อย่างแรกน้ำมันพืช และอย่างที่สองแป้ง จะเป็นแป้งอะไรก็ได้นะคะที่มีอยู่ในครัวใช้ได้หมดเลยค่ะ
มือเหลืองจากการปอก มะยงชิด มีวิธีการล้างยังไง
1 . ชะโลมมือที่ติดสีเหลือง ๆ ให้ทั่วด้วยน้ำมันที่เตรียมไว้ ใช้น้ำมันประเภทไหนก็ได้นะคะ แล้วถ้าถามว่าจำเป็นมั้ยที่ต้องใช้น้ำมันใหม่เสมอในล้างล้างคราบเหลืองที่ติดมือนี้ ขอตอบตรงนี้เลยค่ะว่าไม่จำเป็น สามารถนำเอาน้ำมันเก่าที่เคยผ่านการใช้งานมาแล้ว มาใช้ในการล้างคราบเหลืองจากการปอก มะยงชิด ได้ค่ะ ชะโลมน้ำมันไปให้ทั่ว ๆ มือเลยนะคะ ตามซอกเล็บก็อย่างข้ามไป
2 . โรยแป้งที่เตรียมไว้เมื่อซักครู่นี้ลงมือที่ชุ่มไปด้วยน้ำมัน โรยให้ทั่ว ๆ เลยนะคะจากนั้นทิ้งไว้ซักครู่ไม่กี่อึดใจ ให้แป้งได้ทำการดูดความมันจากน้ำมันออกมาให้มากที่สุด
3 . จากนั้นก็ล้างมือในน้ำสะอาด ฟอกสบู่ทำความสะอาดตามปกติได้เลยค่ะ
4 . ปิ๊ง !! เท่านี้คราบเหลืองอ๋อยจาก มะยงชิด ที่เคยติดแน่นทนนาน ไม่ยอมโบกมือลาจากมือ จากเล็บเราง่าย ๆ ก็หายเกลี้ยงไปแล้วค่ะ การใช้น้ำมันและแป้งเข้ามาช่วยแล้วได้ผลเกิดจากเราให้น้ำมันเข้าไปละลายยางสีเหลืองที่ติดผิวหนัง จากนั้นดึงยางที่ละลายกับน้ำมันออกอย่างหมดจดด้วยแป้งที่พอกไว้ เมื่อแป้งโดยน้ำ ทั้งยางสีเหลือง ทั้งน้ำมัน ก็พากันโบกมือลามือเราไปอย่างง่ายดาย ไม่ต้องออกแรงขัดๆถูๆให้มือแสบแล้วค่ะ
Story : อรญา ไตรหิรัญ
Photo : วาระ สุทธิวรรณ